ควรทำอย่างไรหลังขับรถลุยน้ำ เทคนิคดูแลรถให้ปลอดภัย
หนึ่งในปัญหาที่คนขับรถต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเข้าช่วงหน้าฝนคือน้ำท่วมขัง การต้องขับพารถคู่ใจลุยน้ำที่มีระดับสูงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและสภาพแย่ของเครื่องยนต์อันเป็นเหตุหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการขับรถลุยน้ำอาจส่งผลให้รถของคุณไม่อยู่ในสภาพปกติหรือใช้งานได้ไม่เหมือนเดิม ผู้ขับขี่จึงควรมีการดูแลรถหลังลุยน้ำท่วมทุกครั้งเพื่อตรวจสอบความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์
โดยข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำมีวิธีการปฏิบัติที่สามารถทำได้ทั้งขณะขับขี่หรือหลังจากจอดรถยนต์เรียบร้อยแล้ว มาดูกันว่ามีวิธีการดูแลและตรวจเช็กสภาพรถอย่างไรบ้าง หากมีเหตุจำเป็นให้ต้องขับรถลุยน้ำ
ข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำ สำคัญอย่างไร
ข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำท่วมขังนั้นสำคัญอย่างไร? ก่อนที่จะตัดสินใจขับรถลุยน้ำท่วมคุณควรประเมินสถานการณ์ให้ดีเสียก่อน อย่างความสูงของรถยนต์ที่กำลังขับขี่และความสูงของระดับน้ำ ซึ่งหากระดับน้ำท่วมสูงเกินไปจนถึงระดับขอบประตูคุณไม่ควรขับเส้นทางนั้นต่อเพราะอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเครื่องยนต์ได้
แต่ในบางกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ได้จริง นอกเหนือจากการเหยียบเบรกไล่น้ำ, การขับรถเกียร์ต่ำเพื่อป้องกันเครื่องยนต์ดับ รวมไปถึงปิดระบบเครื่องปรับอากาศเพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อตขณะขับแล้ว การดูแลรถหลังลุยน้ำท่วมยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถยนต์ควรรู้ไว้ติดตัว
ข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำท่วมขังจะช่วยให้คุณรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังจากต้องขับรถลุยน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การตรวจสอบการทำงานของเครื่องยนต์ ตลอดจนการตรวจสอบระบบไฟฟ้า เช็กสภาพการทำงานของเบรก รวมไปถึงสภาพภายในห้องโดยสาร ซึ่งหากมีส่วนใดที่มีสภาพผิดปกติหรือไม่สมบูรณ์ก็จะช่วยให้คุณนำรถยนต์ส่งอู่ซ่อมเพื่อให้ช่างตรวจสอบแก้ไขได้เร็วที่สุดนั่นเอง
ข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำ มีอะไรบ้างที่ควรรู้
การขับรถลุยน้ำท่วมขังอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ในหลายบริเวณของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า เครื่องยนต์ เบรก หรือพื้นที่ห้องโดยสาร แน่นอนว่าคุณควรตรวจสอบให้ครบถ้วน โดยวิธีการดูแลรถหรือข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำท่วมมีด้วยกันดังนี้
1. ตรวจสอบระบบไฟฟ้า
ความชื้นจากการขับรถลุยน้ำท่วมขังอาจก่อให้เกิดความชื้นแก่ระบบไฟฟ้า สายไฟและอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำสำหรับการตรวจสอบระบบไฟฟ้าควรเริ่มจากเช็กภายในกล่องฟิวส์ ซึ่งควรเปลี่ยนหากมีความเสียหายคุณควรเช็ดกล่องอีซียูให้แห้งสะอาด รวมถึงตรวจสอบระบบไฟด้านนอกตัวรถซึ่งหากพบชิ้นส่วนใดที่ไม่ปกติ อย่างเช่น แบตเตอรี่ คุณควรถอดขั้วต่อออกและให้ช่างช่วยตรวจสอบ
2. ตรวจห้องโดยสาร
การขับรถลุยน้ำท่วมขังอาจทำให้มีการซึมของน้ำผ่านตามรอยต่อต่าง ๆ เข้ามาภายในห้องโดยสารหรืออาจเกิดได้จากน้ำที่ท่วมถึงระดับท่อไอเสีย โดยข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำสำหรับการตรวจห้องโดยสารควรเริ่มทันทีหลังจากขับรถลุยน้ำหรือไม่เกินกว่าสองวัน โดยการนำพรมไปตากแดด เช็ดน้ำที่ขังให้แห้ง และเปิดประตูรถเพื่อไล่ความชื้นภายในตัวรถและระบายอากาศ
3. ตรวจสอบเบรก
เนื่องจากผ้าเบรกเปียกคุณจึงไม่ควรเร่งเครื่องหรือออกตัวด้วยความเร็วหลังจากขับรถลุยน้ำท่วมขัง เพราะรถอาจเกิดการลื่นเสียหลักเมื่อเหยียบเบรกเนื่องจากสูญเสียการยึดเกาะกับพื้นถนน โดยข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำสำหรับการตรวจสอบเบรกทำได้โดยการเหยียบเบรกย้ำ ๆ เพื่อช่วยให้ประสิทธิภาพในการเบรกดีขึ้น ให้ตัวผ้าเบรกกับจานเบรกหรือดรัมเบรกอยู่ในสภาพปกติ ทั้งนี้ผ้าเบรกจะยังไม่แห้งเร็วในทันที คุณจึงควรขับรถในระดับความเร็วที่เหมาะสมเพื่อความปลอดภัย
4. ตรวจสอบเครื่องยนต์
ตามปกติแล้ว ผู้ขับขี่หรือใช้รถยนต์ควรหมั่นตรวจเช็กสภาพของเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ วิธีการนี้จะช่วยให้คุณสังเกตความผิดปกติของรถคู่ใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะหลังจากขับรถลุยน้ำท่วมขังซึ่งอาจก่อให้เกิดความผิดปกติขึ้นกับเครื่องยนต์ของรถที่ขับประจำได้
โดยข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำสำหรับการตรวจสอบเครื่องยนต์เมื่อมีอาการ อย่างเช่น เครื่องเร่งไม่ขึ้น, เครื่องยนต์มีเสียงดังกว่าปกติ หรือมีอาการกระตุก คุณควรจอดรถให้สนิทแล้วตรวจก้านวัดระดับน้ำมัน ซึ่งหากก้านเป็นสีคล้ายกาแฟอ่อน ๆ แสดงว่ามีน้ำเข้า รวมไปถึงที่กรองอากาศและท่อไอดีซึ่งถ้าเปียกแสดงว่ามีน้ำเข้าเช่นกัน ในกรณีนี้คุณควรให้ช่างช่วยดูแลทันที
สรุป
ข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำเป็นเรื่องควรทำหากคุณพารถคันเก่งขับลุยน้ำท่วมขังที่อาจก่อให้เกิดความผิดปกติแก่รถยนต์ การดูแลรถหลังลุยน้ำท่วมจึงเป็นสิ่งจำเป็นและไม่ควรชะล่าใจหากเกิดความผิดปกติขึ้น ดังนั้น หากคุณรู้ข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำตลอดจนวิธีตรวจเช็กสภาพรถในแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างดี จะช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีหากเกิดความเสียหาย นำส่งอู่ซ่อมให้ช่างช่วยตรวจสอบดูแลเพื่อประเมินสถานการณ์ได้ไว ช่วยให้ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นนั้นเบาลงและไม่บานปลายจนเสี่ยงต่อการเสียค่าซ่อมที่มากเกินจำเป็น